วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เรื่องการปวารณา๑

ไม่ควรไปไหนในวันปวารณา
             [๒๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบ จำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่ถิ่นที่ มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบ จำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอก จากมีอันตราย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นมิใช่อาวาส ซึ่งมี ภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมี ภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมี ภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาส มีภิกษุซึ่งครบจำนวน ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่ถิ่น ที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส นอกจากไป เป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส นอก จากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ....              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบ จำนวน ....              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมี ภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ....              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมี ภิกษุครบจำนวน สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ....              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมี ภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ซึ่งเป็นที่อยู่ของภิกษุผู้เป็น นานาสังวาส นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
สถานที่ควรไปในวันปวารณา
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุพึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาส ที่มีภิกษุครบจำนวน ....              .... สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ....              .... สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นสมานสังวาส ที่รู้ว่า เราสามารถจะไปถึงในวันนี้แหละ.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน ....              .... สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ....              .... สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส อันเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นสมานสังวาส ที่รู้ว่า เราสามารถจะไปถึงในวันนี้แหละ.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา พึงไปจากอาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุ ครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน ....              .... สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ....              .... สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส อันเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นสมานสังวาส ที่รู้ว่า จะสามารถไปถึงในวันนี้แหละ.
บุคคลที่ควรเว้นในปวารณา
             [๒๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุณีนั่งอยู่ด้วย รูปใด ปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีสิกขมานานั่งอยู่ด้วย ....              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีสามเณรนั่งอยู่ด้วย ....              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีสามเณรีนั่งอยู่ด้วย ....              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้บอกลาสิกขาแล้วนั่งอยู่ด้วย ....              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้ต้องอันติมวัตถุนั่งอยู่ด้วย รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ นั่งอยู่ด้วย รูปใดปวารณา พึงปรับอาบัติตามธรรม.              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัตินั่งอยู่ด้วย ....              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามกนั่งอยู่ด้วย รูปใดปวารณา พึงปรับอาบัติตามธรรม.              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีบัณเฑาะก์นั่งอยู่ด้วย รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนลักเพศนั่งอยู่ด้วย ....              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้เข้ารีดเดียรถีย์นั่งอยู่ด้วย ....              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนคล้ายดิรัจฉานนั่งอยู่ด้วย ....              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนฆ่ามารดานั่งอยู่ด้วย ....              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนฆ่าบิดานั่งอยู่ด้วย ....              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนฆ่าพระอรหันต์นั่งอยู่ด้วย ....              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนประทุษร้ายภิกษุณีนั่งอยู่ด้วย ....              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุทำลายสงฆ์นั่งอยู่ด้วย ....              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนทำร้ายพระศาสดาถึงห้อพระโลหิตนั่งอยู่ด้วย ....              ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีอุภโตพยัญชนกนั่งอยู่ด้วย รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงปวารณา ด้วยการให้ปวารณาค้างคราว นอกจากบริษัท ยังไม่ลุกไป.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุไม่พึงปวารณาในดิถีมิใช่วันปวารณา นอกจากวัน สังฆสามัคคี.
พระพุทธานุญาตเตวาจิกาปวารณา
สัญจรภัยในปวารณา
             [๒๔๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ณ อาวาสแห่งหนึ่งในโกศลชนบท คนชาวดงได้มาพลุกพล่าน ในวันปวารณา. ภิกษุทั้งหลายไม่อาจปวารณา ๓ หน จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปวารณา ๒ หน. คนชาวดงได้มาพลุกพล่านมากขึ้น ภิกษุทั้งหลายไม่อาจปวารณา ๒ หน จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ให้ปวารณาหนเดียว. ชนชาวดงได้มาพลุกพล่านหนักขึ้นอีก. ภิกษุทั้งหลายไม่อาจปวารณาหนเดียว จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปวารณามีพรรษาเท่ากัน.
ราตรีจวนสว่าง
             ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา ชาวบ้านมัวให้ทานอยู่จนราตรี จวนสว่าง จึงภิกษุเหล่านั้นได้ปรึกษากันว่า คนเหล่านี้มัวให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จัก ปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ราตรีนี้ก็จักสว่างเสียก่อน พวกเราจะพึงปฏิบัติ อย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา ชาวบ้านในตำบลนี้มัวให้ทานอยู่ จนราตรี จวนสว่าง หากภิกษุทั้งหลายในอาวาสนั้น มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ชาวบ้านพากันให้ทานอยู่จน ราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จะปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ราตรีนี้ก็จักสว่าง เสียก่อน ดังนี้. ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้:-              ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ชาวบ้านมัวให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ราตรีจักสว่างเสียก่อน. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน .... หนเดียว .... มีพรรษาเท่ากัน.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา ภิกษุทั้งหลายกล่าวธรรมกัน .... ภิกษุที่เชี่ยวชาญในพระสูตร สังคายนาพระสูตรกัน .... พระวินัยธรตัดสินพระวินัยกัน .... พระธรรมกถึกสนทนาธรรมกัน .... ภิกษุทั้งหลายทะเลาะกันจนราตรีจวนสว่าง. หากภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสนั้นมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลายทะเลาะกันจนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จัก ปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ราตรีจักสว่างเสียก่อน ดังนี้. ภิกษุผู้ฉลาด สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-              ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุทั้งหลายมัวทะเลาะกันจนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันปวารณาทั่วกัน ราตรีจักสว่างเสียก่อน ถ้าความ พร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน .... หนเดียว .... มีพรรษาเท่ากัน.
ฝนกำลังตั้งเค้า
             ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่งในโกศลชนบท ถึงวันปวารณาภิกษุสงฆ์มาประชุม กันมาก. สถานที่ประชุมคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และฝนกำลังตั้งเค้ามาใหญ่ จึงภิกษุเหล่านั้นได้ ปรึกษากันว่า ภิกษุสงฆ์นี้มาประชุมกันมาก สถานที่ประชุมคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และฝนก็กำลัง ตั้งเค้ามาใหญ่ ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ฝนนี้ก็จักตกเสียก่อน พวกเราจะพึงปฏิบัติสถานไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่ผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค รับสั่ง กะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้มา ประชุมกันมาก. สถานที่ประชุมคับแคบคุ้มฝนไม่ได้ และฝนก็กำลังตั้งเค้ามาใหญ่ ถ้าภิกษุ ทั้งหลายในอาวาสนั้นมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ภิกษุสงฆ์มาประชุมกันมาก สถานที่ประชุมคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และฝนก็กำลังตั้งเค้ามาใหญ่ ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณา ทั่วกัน ฝนนี้ก็จักตกหนักเสียก่อน. ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติ กรรมวาจา ว่าดังนี้:-              ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุสงฆ์นี้ประชุมกันมาก สถานที่ประชุม คับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และฝนก็กำลังตั้งเค้ามาใหญ่ ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จัก ไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ฝนนี้ก็จักตกเสียก่อน. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึง ปวารณา ๒ หน .... หนเดียว .... มีพรรษาเท่ากัน.
อันตราย ๑๐ ประการ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่งในตำบลนี้ ถึงวันปวารณา มีอันตราย เกิดขึ้น คือ                           ๑. พระราชาเสด็จมา ....                           ๒. โจรปล้น ....                           ๓. ไฟไหม้ ....                           ๔. น้ำหลากมา ....                           ๕. คนมามาก ....                           ๖. ผีเข้าสิงภิกษุ ....                           ๗. สัตว์ร้ายเข้ามา ....                           ๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามา ....                           ๙. ภิกษุจะถึงเสียชีวิต ....                           ๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์เกิดขึ้น.              ในข้อนั้น หากภิกษุทั้งหลายในอาวาสนั้นมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เหตุฉุกเฉินนี้แหละ คือ อันตรายแก่พรหมจรรย์ ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วถึงกัน อันตรายแก่พรหมจรรย์นี้ก็จักเกิดเสียก่อน. ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วย ญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-              ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เหตุฉุกเฉินนี้คืออันตรายแก่พรหมจรรย์ ถ้าสงฆ์ จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วถึงกัน อันตรายแก่พรหมจรรย์นี้ก็จักเกิด เสียก่อน. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน .... หนเดียว .... มีพรรษา เท่ากัน.
ภิกษุมีอาบัติห้ามปวารณา
             [๒๔๕] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์มีอาบัติติดตัวได้ปวารณา. ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุมีอาบัติติดตัวไม่พึงปวารณา รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้มีอาบัติติดตัวปวารณา รูปนั้นทำโอกาส โจทด้วยอาบัติ.              สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์อันสงฆ์ให้ทำโอกาส ก็ไม่ปรารถนาจะทำโอกาส. ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตให้งดปวารณาของภิกษุผู้ไม่ยอมทำโอกาส.
วิธีงดปวารณา
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงงดปวารณาอย่างนี้:-              เมื่อถึงวันปวารณา ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้า ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ว่าดังนี้:-              ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ มีอาบัติติดตัวปวารณา ข้าพเจ้า ของดปวารณาของเธอเสีย เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้า สงฆ์ไม่พึงปวารณา.              เท่านี้ เป็นอันงดปวารณาแล้ว.              สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์หารือกันว่า ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก งดปวารณาของ พวกเราก่อน ดังนี้ จึงรีบงดปวารณาของภิกษุที่บริสุทธิ์ไม่มีอาบัติเสียก่อน เพราะเรื่องอันไม่ สมควร เพราะเหตุอันไม่สมควร แม้ปวารณาของภิกษุที่ปวารณาแล้วก็งดด้วย. ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงงดปวารณา ของภิกษุผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติ เพราะเรื่องอันไม่สมควร เพราะเหตุ อันไม่สมควร รูปใดงด ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง แม้ปวารณาของภิกษุ ที่ปวารณาแล้ว ก็ไม่พึงงด รูปใดงด ต้องอาบัติทุกกฏ.
ลักษณะปวารณาที่ไม่เป็นอันงด
             [๒๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ปวารณาเป็นอันงด อย่างนี้ไม่เป็นอันงด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปวารณาไม่เป็นอันงดอย่างไรเล่า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา ๓ หน อันภิกษุกล่าวว่าจบแล้ว จึงงดปวารณา ปวารณาไม่เป็นอันงด.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา ๒ หน ....              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณาหนเดียว ....              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณามีพรรษาเท่ากัน อันภิกษุกล่าวว่าจบแล้ว จึงงดปวารณา ปวารณาไม่เป็นอันงด.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ปวารณาไม่เป็นอันงด.
ลักษณะปวารณาเป็นอันงด
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปวารณาเป็นอันงดอย่างไรเล่า?              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา ๓ หน อันภิกษุกล่าวว่ายังไม่ทันจบ จึงงดปวารณา ปวารณาเป็นอันงด.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา ๒ หน ....              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณาหนเดียว ....              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณามีพรรษาเท่ากันอันภิกษุกล่าวว่ายังไม่ทันจบ จึงงด ปวารณา ปวารณาเป็นอันงด.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ปวารณาเป็นอันงด.
ภิกษุผู้งดปวารณา
             [๒๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้ งดปวารณาของภิกษุ เสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า ท่านองค์นี้แล มีความประพฤติทางกายไม่บริสุทธิ์ มีความประพฤติทางวาจาไม่บริสุทธิ์ มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์ เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด เมื่อถูกซักถาม ไม่อาจให้คำตอบข้อที่ซักถาม. สงฆ์พึงกล่าวห้ามว่า อย่าเลย ภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะ กัน อย่าแก่งแย่งกัน อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า ท่านองค์นี้แล มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ แต่มีความ ประพฤติทางวาจาไม่บริสุทธิ์ มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์ เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด เมื่อถูกซักถาม ก็ไม่อาจให้คำตอบข้อที่ซักถาม. สงฆ์พึงกล่าวห้ามว่า อย่าเลย ภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะ กัน อย่าแก่งแย่งกัน อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า ท่านองค์นี้แล มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ มีความประพฤติ ทางวาจาบริสุทธิ์ แต่มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์ เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด เมื่อถูกซักถาม ก็ไม่อาจให้ คำตอบข้อที่ซักถาม. สงฆ์พึงกล่าวห้ามว่า อย่าเลย ภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะกัน อย่าแก่งแย่งกัน อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า ท่านองค์นี้แล มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ มีความประพฤติ ทางวาจาบริสุทธิ์ มีอาชีวะบริสุทธิ์ แต่เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด เมื่อถูกซักถาม ก็ไม่อาจให้คำตอบ ข้อที่ซักถาม. สงฆ์พึงกล่าวห้ามว่า อย่าเลย ภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะกัน อย่า แก่งแย่งกัน อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้ งดปวารณาของภิกษุ เสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า ท่านองค์นี้แล มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ มีความ ประพฤติทางวาจาบริสุทธิ์ มีอาชีวะบริสุทธิ์ เป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา เมื่อถูกซักถาม สามารถให้คำตอบข้อที่ซักถามได้. ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า อาวุโส คุณงด ปวารณาของภิกษุรูปนี้เพราะอะไร? งดเพราะศีลวิบัติหรือ? งดเพราะอาจารวิบัติหรือ? งดเพราะทิฏฐิวิบัติหรือ? หากเธอจะพึงตอบ อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้างดเพราะศีลวิบัติ ข้าพเจ้า งดเพราะอาจารวิบัติ ข้าพเจ้างดเพราะทิฏฐิวิบัติ. เธออันสงฆ์พึงถาม อย่างนี้ว่า คุณรู้จัก ศีลวิบัติ รู้จักอาจารวิบัติ รู้จักทิฏฐิวิบัติหรือ? หากเธอจะพึงตอบ อย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้จักศีลวิบัติ รู้จักอาจารวิบัติ รู้จักทิฏฐิวิบัติ. เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่า อาวุโส ก็ศีลวิบัติเป็นอย่างไร? อาจารวิบัติเป็นอย่างไร? ทิฏฐิวิบัติเป็นอย่างไร? หากเธอ จะพึงตอบ อย่างนี้ว่า ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ นี้ชื่อว่าศีลวิบัติ ถุลลัจจัย ปาจิตติยะ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต นี้ชื่อว่าอาจารวิบัติ มิจฉาทิฏฐิ อันตคาหิกทิฏฐิ นี้ชื่อว่า ทิฏฐิวิบัติ. เธออันสงฆ์พึงถาม อย่างนี้ว่า อาวุโส คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยเหตุอะไร? งดด้วยได้เห็นหรือ? งดด้วยได้ฟังหรือ? งดด้วยสงสัยหรือ?. หากเธอจะพึงตอบอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้างดด้วยได้เห็นก็ดี ข้าพเจ้างดด้วยได้ฟังก็ดี ข้าพเจ้างดด้วยสงสัยก็ดี. เธออันสงฆ์พึงถาม อย่างนี้ว่า อาวุโส คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยได้เห็นอย่างไร? คุณเห็นอะไร? คุณเห็นว่า อย่างไร? คุณเห็นเมื่อไร? คุณเห็นที่ไหน? ภิกษุนี้ต้องอาบัติปาราชิก คุณเห็นหรือ? ภิกษุนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส คุณเห็นหรือ? ภิกษุนี้ต้องอาบัติถุลลัจจัย .... อาบัติปาจิตติยะ .... อาบัติ ปาฏิเทสนียะ .... อาบัติทุกกฏ .... อาบัติทุพภาสิต คุณเห็นหรือ? คุณอยู่ที่ไหน? และภิกษุนี้ อยู่ที่ไหน? คุณทำอะไรบ้าง? ภิกษุนี้ทำอะไรบ้าง?. หากเธอจะพึงตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้งดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยได้เห็น แต่งดปวารณาด้วยได้ฟังต่างหาก. เธออันสงฆ์พึง ถามอย่างนี้ว่า อาวุโส คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยได้ฟังมาอย่างไร? คุณได้ฟังเรื่องอะไร? คุณได้ฟังมาว่าอย่างไร? คุณได้ฟังมาเมื่อไร? คุณได้ฟังที่ไหน? คุณได้ฟังว่า ภิกษุนี้ต้องอาบัติ- *ปาราชิกหรือ? ได้ฟังว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหรือ? ได้ฟังว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติถุลลัจจัย .... อาบัติปาจิตติยะ .... อาบัติปาฏิเทสนียะ .... อาบัติทุกกฏ .... อาบัติทุพภาสิตหรือ? ได้ฟังมาจากภิกษุ หรือ? ได้ฟังมาจากภิกษุณีหรือ? ได้ฟังมาจากสิกขมานาหรือ? ได้ฟังมาจากสามเณรหรือ? ได้ฟังมาจากสามเณรีหรือ? ได้ฟังมาจากอุบาสกหรือ? ได้ฟังมาจากอุบาสิกาหรือ? ได้ฟังมาจาก พระราชาหรือ? ได้ฟังมาจากราชมหาอำมาตย์หรือ? ได้ฟังมาจากพวกเดียรถีย์หรือ? ได้ฟังมาจาก พวกสาวกเดียรถีย์หรือ?. หากเธอจะพึงตอบ อย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้งดปวารณา ของภิกษุนี้ด้วยได้ฟัง แต่ข้าพเจ้างดปวารณาด้วยสงสัยต่างหาก. เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่า อาวุโส คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยสงสัยอย่างไร? คุณสงสัยอะไร? สงสัยว่าอย่างไร? สงสัยเมื่อไร? สงสัยที่ไหน? คุณสงสัยว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติปาราชิกหรือ? สงสัยว่าภิกษุนี้ต้อง อาบัติสังฆาทิเสสหรือ? สงสัยว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติถุลลัจ .... อาบัติปาจิตติยะ .... อาบัติปาฏิเทสนียะ .... อาบัติทุกกฏ .... อาบัติทุพภาสิตหรือ? คุณฟังมาจากภิกษุแล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากภิกษุณี แล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากสิกขมานาแล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากสามเณรแล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากสามเณรีแล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากอุบาสกแล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากอุบาสิกา แล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากพระราชาแล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากราชมหาอำมาตย์แล้วสงสัย หรือ? คุณฟังมาจากพวกเดียรถีย์แล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากพวกสาวกเดียรถีย์แล้วสงสัย หรือ? หากเธอจะพึงตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้งดปวารณาของภิกษุนี้ด้วย สงสัย ความจริงแม้ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบว่า เรางดปวารณาของภิกษุนี้เสียด้วยเหตุไรเล่า?.
ฟังคำปฏิญาณของโจทก์และจำเลย
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุโจทก์นั้นตอบข้อซักถามไม่เป็นที่พอใจของสพรหมจารีผู้รู้ ทั้งหลาย สงฆ์ควรบอกว่า คุณไม่ควรฟ้องภิกษุจำเลย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุโจทก์นั้นตอบข้อซักถามเป็นที่พอใจของสพรหมจารีผู้รู้ ทั้งหลาย สงฆ์ควรบอกว่า คุณควรฟ้องภิกษุจำเลย.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า ตนตามกำจัดด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล สงฆ์พึงปรับอาบัติสังฆาทิเสสแล้วจึงปวารณา.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า ตนตามกำจัดด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มี มูล สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรมแล้วจึงปวารณา.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า ตนตามกำจัดด้วยอาบัติถุลลัจจัยไม่มีมูล .... ด้วยอาบัติปาจิตติยะ .... ด้วยอาบัติปาฏิเทสนียะ .... ด้วยอาบัติทุกกฏ .... ด้วยอาบัติทุพภาสิตไม่มีมูล สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรม แล้วจึงปวารณา.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติปาราชิก สงฆ์พึงนาสนะ เสีย แล้วจึงปวารณา.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติสังฆาทิเสส สงฆ์พึง ปรับอาบัติสังฆาทิเสส แล้วจึงปวารณา.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติถุลลัจจัย .... อาบัติปาจิตติยะ .... อาบัติปาฏิเทสนียะ .... อาบัติทุกกฏ .... อาบัติทุพภาสิต สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรม แล้วปวารณา เถิด.
มีความเห็นไม่ตรงกันในอาบัติที่ต้อง
             [๒๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ในวันปวารณา. ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่า ต้องอาบัติสังฆาทิเสส              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่มีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย พึงนำภิกษุรูปนั้น ออกไปในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ปรับอาบัติตามธรรม แล้วเข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ทั้งหลาย ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของ สงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ในวันปวารณา. ภิกษุ บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาจิตติยะ บางพวก มีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ บางพวกมีความ เห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุกกฏ บางพวกมีความเห็นว่าต้อง อาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่มีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย พึงนำภิกษุรูปนั้น ออกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ปรับอาบัติตามธรรมแล้ว เข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ทั้งหลาย ภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของ สงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติปาจิตติยะ .... ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ .... ต้องอาบัติทุกกฏ .... ต้องอาบัติทุพภาสิต ในวันปวารณา. ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่าต้อง อาบัติทุพภาสิต บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติสังฆาทิเสส.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่มีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต พึงนำภิกษุรูปนั้นออกไปใน ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ปรับอาบัติตามธรรมแล้ว เข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติทุพภาสิตในวันปวารณา. ภิกษุ บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวก มีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาจิตติยะ บางพวกมีความ เห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ บางพวกมีความเห็นว่า ต้องอาบัติทุพภาสิต บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุกกฏ.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่มีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต พึงนำภิกษุรูปนั้นออก ไปในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ปรับอาบัติตามธรรมแล้ว เข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.
วัตถุและบุคคลปรากฏ
             [๒๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ในวัน ปวารณาว่า              ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า วัตถุนี้ปรากฏ บุคคลไม่ปรากฏ ถ้าความ พร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงงดวัตถุ แล้วปวารณาเถิด.              ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปวารณาไว้สำหรับ ภิกษุทั้งหลายผู้บริสุทธิ์ ถ้าวัตถุปรากฏ บุคคลไม่ปรากฏ เธอจงระบุคคลนั้นมาเดี๋ยวนี้.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ในวันปวารณาว่า              ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลนี้ปรากฏ วัตถุไม่ปรากฏ ถ้าความพร้อม พรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงงดบุคคล แล้วปวารณาเถิด.              ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปวารณาไว้สำหรับ ภิกษุทั้งหลายผู้พร้อมเพรียงกัน ถ้าบุคคลปรากฏ วัตถุไม่ปรากฏ เธอจงระบุวัตถุนั้นมาเดี๋ยวนี้.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ในวันปวารณาว่า              ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า วัตถุและบุคคลนี้ปรากฏ ถ้าความพร้อมพรั่ง ของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงงดวัตถุและบุคคลแล้ว ปวารณาเถิด.              ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปวารณาไว้ สำหรับภิกษุทั้งหลายผู้บริสุทธิ์ และพร้อมเพรียงกัน ถ้าวัตถุและบุคคลปรากฏ เธอจงระบุวัตถุ และบุคคลนั้นมาเดี๋ยวนี้.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากวัตถุปรากฏก่อนปวารณา ภายหลังบุคคลจึงปรากฏ ควรพูดขึ้น. หากบุคคลปรากฏก่อนปวารณา ภายหลังวัตถุจึงปรากฏ ก็ควรพูดขึ้น. หากวัตถุและบุคคลปรากฏ ก่อนปวารณา. ถ้าเมื่อทำปวารณาแล้ว ฟื้นเรื่องนั้นขึ้นเป็นปาจิตติยะ เพราะฟื้นเรื่องขึ้น.
ภิกษุก่อความบาดหมางเป็นต้น
             [๒๕๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกันที่เคยเห็นร่วมคบหากันมา จำพรรษาอยู่ ในอาวาสแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบท ณ สถานที่ใกล้เคียงของภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุเหล่าอื่นที่ก่อ ความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ จำพรรษา อยู่ด้วยประสงค์ว่า ในวันปวารณา พวกเราจักงดปวารณาของภิกษุที่อยู่จำพรรษาเหล่านั้นเสีย. ภิกษุเหล่านั้นได้ทราบข่าวว่า ณ สถานที่ใกล้เคียงของพวกเรา มีภิกษุเหล่าอื่นที่ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ จำพรรษาอยู่ ด้วยมุ่งหมายว่า ในวันปวารณา พวกเราจักงดปวารณาของภิกษุที่อยู่จำพรรษาเหล่านั้นเสีย ดังนี้ พวกเราจะพึง ปฏิบัติอย่างไรหนอ จึงกราบทูลเรื่องแด่พระผู้มีพระภาค.              พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมา จำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง. ณ สถานที่ใกล้เคียงของภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุเหล่าอื่นที่ก่อความ บาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ จำพรรษาอยู่ ด้วยมุ่งหมายว่า ในวันปวารณา พวกเราจักงดปวารณาของพวกภิกษุที่อยู่จำพรรษาเหล่านั้นเสีย ดังนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุเหล่านั้นทำอุโบสถ ๒ คือ ที่ ๓ ที่ ๔ หรือ ๓ อุโบสถ คือ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ให้เป็นอุโบสถ ๑๔ ค่ำ ด้วยประสงค์ว่า ไฉนพวกเราพึงปวารณา ก่อนภิกษุเหล่านั้น.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น มาสู่อาวาส ภิกษุพวกเจ้าถิ่นเหล่านั้น พึงรีบประชุม ปวารณาเสียโดยเร็ว ครั้นแล้วพึงแจ้งว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกเราปวารณากันเสร็จแล้ว ท่านทั้งหลายจะสำคัญสถานใด ก็จงทำสถานนั้นเถิด.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น ไม่แจ้งให้ทราบก่อนมาสู่อาวาสนั้น พวกภิกษุ เจ้าถิ่นเหล่านั้น พึงปูอาสนะ จัดหาน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้าไว้ พึงลุกขึ้นแล้ว รับบาตรจีวร พึงต้อนรับด้วยน้ำดื่ม. พึงเสแสร้งกล่าวแก่ภิกษุเหล่านั้น แล้วไปปวารณานอกสีมา. ครั้นแล้วพึงแจ้งว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกเราปวารณากันเสร็จแล้ว ท่านทั้งหลายจะสำคัญสถานใด ก็จงทำสถานนั้นเถิด. ถ้าได้วิธีการนั้นอย่างนี้ การได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ได้ภิกษุ เจ้าถิ่นผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้ภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายทราบว่า              ขอท่านเจ้าถิ่นทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว พวกเราพึงทำอุโบสถ พึงสวดปาติโมกข์ในบัดนี้ พึงปวารณาในวันกาฬปักที่จะมาถึงเถิด.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น จะพึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่า ดีแล้ว อาวุโสทั้งหลาย ขอพวกท่านจงปวารณาต่อพวกเราในบัดนี้เถิด. พวกเธออันภิกษุทั้งหลาย พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านไม่เป็นใหญ่ในปวารณาของพวกเรา พวกเราจะ ยังไม่ปวารณาก่อนละ.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุที่ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น จะพึงอยู่คอยไปถึงวันกาฬปักษ์นั้น ภิกษุเจ้าถิ่น ผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้พวกภิกษุเจ้าถิ่นทราบว่า              ขอท่านเจ้าถิ่นทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว พวกเราพึงทำอุโบสถ พึงสวดปาติโมกข์ในบัดนี้เถิด พวกเราพึงปวารณาในวันชุณหปักษ์ที่จะ มาถึงเถิด.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น จะพึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่า ดีแล้ว อาวุโส ทั้งหลาย ขอพวกท่านจงปวารณาต่อพวกเราในบัดนี้เถิด. พวกเธออันภิกษุทั้งหลายพึงกล่าว อย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านไม่เป็นใหญ่ในปวารณาของพวกเรา พวกเราจะยังไม่ปวารณา ก่อนละ.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น จะพึงอยู่คอยไปถึงวันชุณหปักษ์แม้นั้น ภิกษุ เหล่านั้นทุกรูปไม่ปวารณา ก็ต้องปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณากัน ภิกษุอาพาธงดปวารณาของภิกษุ ผู้ไม่อาพาธ ภิกษุอาพาธนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านกำลังอาพาธ อันผู้อาพาธ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่สู้จะอดทนต่อการซักถาม อาวุโส ขอท่านจงรออยู่จนกว่าจะหายอาพาธ หายอาพาธแล้ว เมื่อจำนงจึงค่อยโจท. หากภิกษุอาพาธถูกว่ากล่าวอย่างนี้ ยังขืนโจท เป็นปาจิตติยะ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณากัน ภิกษุผู้ไม่อาพาธงดปวารณา ของภิกษุผู้อาพาธ ภิกษุผู้ไม่อาพาธนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า อาวุโส ภิกษุรูปนี้แล กำลังอาพาธ อันผู้อาพาธ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่สู้จะอดทนต่อการซักถาม อาวุโส ขอท่าน จงรออยู่จนกว่าภิกษุรูปนี้หายอาพาธ ภิกษุนั้นหายอาพาธแล้ว เมื่อจำนงจึงค่อยโจท. หากภิกษุ ผู้ไม่อาพาธถูกว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ยังขืนโจท เป็นปาจิตติยะ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณาอยู่ ภิกษุอาพาธงดปวารณาของภิกษุ อาพาธๆ นั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายกำลังอาพาธ อันผู้อาพาธ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่สู้จะอดทนต่อการซักถาม โปรดรออยู่ก่อนจนกว่าจะหายอาพาธด้วยกัน หายอาพาธด้วยกันแล้ว เมื่อจำนงจึงค่อยโจท. หากภิกษุผู้อาพาธนั้นถูกว่ากล่าวอย่างนี้ ยังขืนโจท เป็นปาจิตติยะ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณากัน ภิกษุผู้ไม่อาพาธงดปวารณา ของภิกษุผู้ไม่อาพาธ. ทั้งสองฝ่าย สงฆ์พึงสอบสวนสืบสวนเป็นการสงฆ์ปรับอาบัติตามธรรม แล้วจึงปวารณาเถิด.
พวกที่พร้อมเพรียงกันเป็นต้นเลื่อนปวารณา
             [๒๕๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกัน ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมา จำพรรษา อยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบท. เมื่อพวกเธอพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่ ย่อมบรรลุผาสุวิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงพวกเธอได้มีความปริวิตกว่า เมื่อพวกเรา พร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่ได้บรรลุผาสุวิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว. ถ้าพวกเราจักปวารณากันเสียในบัดนี้ บางทีพวกภิกษุปวารณากันแล้วจะพึงหลีกไปสู่จาริกก็จะ มีบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จักเหินห่างจากผาสุวิหารธรรมนี้ พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระพุทธานุญาตให้เลื่อนปวารณา
             พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมา จำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง. เมื่อพวกเธอพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่ ย่อมบรรลุผาสุวิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง. หากภิกษุทั้งหลายในสังฆสันนิบาตนั้นคิดกันอย่างนี้ว่า พวกเราพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่ ได้บรรลุผาสุวิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้ว ถ้าพวกเราจักปวารณากันเสียในบัดนี้ บางทีพวกภิกษุปวารณากันแล้วจะพึงหลีกไปสู่จาริก ก็จะมีบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จักเหินห่างจากผาสุวิหารธรรมนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตให้ภิกษุเหล่านั้นทำการเลื่อนปวารณาออกไป.
วิธีเลื่อนปวารณา
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงทำการเลื่อนปวารณาอย่างนี้.              ภิกษุทุกๆ รูปต้องประชุมพร้อมกัน. ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศ ให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาเลื่อนปวารณา
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เมื่อพวกเราพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่ ได้บรรลุผาสุวิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว. หากพวกเราจักปวารณา เสียในบัดนี้ บางทีภิกษุทั้งหลายปวารณากันแล้ว พึงหลีกไปสู่จาริกก็จะมีบ้าง เมื่อเป็น เช่นนั้น พวกเราก็จักเหินห่างจากผาสุวิหารธรรมนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงทำการเลื่อนปวารณาออกไป บัดนี้พึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์ พึงปวารณา ในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง. นี่เป็นญัตติ.              ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เมื่อพวกเราพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่ ได้บรรลุผาสุวิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว. หากพวกเราจักปวารณาเสีย ในบัดนี้ บางทีภิกษุทั้งหลายปวารณากันแล้ว พึงหลีกไปสู่จาริกก็จะมีบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จักเหินห่างจากผาสุวิหารธรรมนี้. สงฆ์ทำการเลื่อนปวารณาออกไป บัดนี้สงฆ์ จักทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์ จักปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะ มาถึง การกระทำซึ่งการเลื่อนปวารณาออกไป เดี๋ยวนี้สงฆ์จักทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์ จักปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้น พึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.              การเลื่อนปวารณาอันสงฆ์ทำแล้ว บัดนี้สงฆ์จักทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์ จัก ปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
ไม่เป็นใหญ่ในปวารณา
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเหล่านั้นทำการเลื่อนปวารณาออกไปแล้ว หากจะมีภิกษุ สักรูปหนึ่งพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมปรารถนาจะหลีกไปสู่จาริกตามชนบท เพราะผม มีกิจจำเป็นที่ชนบท. ภิกษุรูปนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดีแล้ว อาวุโส ท่านปวารณา แล้วจึงค่อยไป. ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุรูปนั้นอันสงฆ์ปวารณาอยู่ งดปวารณาของภิกษุรูปหนึ่ง เสีย ภิกษุผู้งดปวารณา อันภิกษุผู้ถูกห้ามปวารณาพึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ท่านไม่เป็นใหญ่ ในการปวารณาของผมๆ จักยังไม่ปวารณาก่อน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุนั้นปวารณาอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งห้ามปวารณาของภิกษุรูปนั้น สงฆ์พึงสอบสวนสืบสวนทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วปรับอาบัติ ตามธรรม.              ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุรูปนั้นทำกรณียกิจนั้นในชนบทเสร็จแล้วกลับมาสู่อาวาสนั้น ภายในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือน หากเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณา ภิกษุอีกรูปหนึ่ง งดปวารณาของภิกษุรูปนั้น ภิกษุผู้งดปวารณา อันภิกษุผู้ถูกงดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ท่าน ไม่เป็นใหญ่ในปวารณาของผม เพราะผมปวารณาเสร็จแล้ว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากเมื่อภิกษุ เหล่านั้นปวารณาอยู่ ภิกษุนั้นงดปวารณาของภิกษุอีกรูปหนึ่ง. ทั้ง ๒ ฝ่ายสงฆ์พึงสอบสวน สืบสวนเป็นการสงฆ์ ปรับอาบัติตามธรรมแล้วจึงปวารณาเถิด.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น